ระนอง, เพลิงเผาวอดย่านธุรกิจเมือง ระนอง วอด 21 คูหาร่วม 50 ล้าน ( ข่าวระนอง )

เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ย่านธุรกิจอำเภอเมืองระนอง วอด 21 คูหา คาดมูลค่าความเสียหาย ประมาณ 40-50 ล้านบาท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาด สาเหตุเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ด้านรองผู้ว่าฯ สั่งการเจ้าหน้าที่เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเบื้องต้นแล้ว ส่วนสาเหตุที่ชัดเจน จะให้เจ้าหน้าที่กองวิทยาการเข้าตรวจสอบอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดระนอง ว่า เมื่อเวลา 17.30 น.วานนี้ (1 มิ.ย.) พ.ต.ท.อรุณ ศิริคณินทร์ สารวัตรเวร สภ.ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระนอง ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้อาคารพาณิชย์ 2 ชั้น อยู่ติดกับปั๊มน้ำมัน ปตท.สะพานปลา ซึ่งเป็นย่านธุรกิจขนาดใหญ่ของตำบลปากน้ำ

จึงประสานไปยังหน่วยดับเพลิงเมืองระนอง และเทศบาลตำบลปากน้ำ ให้นำรถดับเพลิงมาช่วยกันฉีดน้ำสกัดเพลิงเป็นการเร่งด่วน แต่เพลิงได้ลุกลามอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอาคารดังกล่าว เป็นอาคาร 2 ชั้น ที่ทำด้วยไม้มีสภาพเก่า อีกทั้ง เป็นร้านขายของจำพวกสี เสื้อผ้า และอาหารแห้ง และร้านค้าอุปกรณ์การทำประมง จึงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมีประชาชนจำนวนมากไปมุงดูเหตุการณ์ ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานด้วยความยากลำบาก รถดับเพลิงจากเทศบาลเมืองระนอง และเทศบาลตำบลปากน้ำทั้ง 10 คัน ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ เจ้าหน้าที่จึงได้ขอความร่วมมือ ไปยังผู้ประกอบการที่มีรถบรรทุกน้ำ และรถน้ำ จากหน่วยงานท้องถิ่น ทั้งจาก อบต.อบจ. เทศบาลทุกเทศบาล กว่า 30 คัน ช่วยกันฉีดน้ำสกัดเพลิง จนถึงเวลา 20.00 น.เพลิงจึงสงบ

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ต้นเพลิงเกิดจากห้องเลขที่ 91/10 หมู่ 1 ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระนอง โดยต้นเพลิงทราบว่า อยู่ที่ชั้น 2 ขณะเกิดเหตุไม่มีผู้อยู่ภายในบ้าน และประตูบ้านปิดอยู่

ต่อมานายช่วงชัย เปาอินทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ได้เดินทางมายังสถานที่เกิดเหตุ และควบคุมการดับเพลิง พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยให้จัดหาสถานที่พักอาศัยพร้อมอาหาร และน้ำสำหรับยังชีพ ส่วนมูลค่าความเสียหายคาดว่า ประมาณ 40-50 ล้านบาท

เนื่องจาก คูหาที่ถูกเพลิงไหม้ส่วนใหญ่ เป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์ทำการประมงที่มีราคาแพง และไม่มีผู้เสียชีวิตมีเพียงบาดเจ็บเล็กน้อยจากการวิ่งหนีขณะเกิดเพลิงไหม้ ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้คาดว่า เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร อย่างไรก็ตามต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจวิทยาการเข้าตรวจสอบรวมทั้งประเมินค่าเสียหายอีกครั้งหนึ่ง

ข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์