ศูนย์ข่าว ภูเก็ต -คณะกรรมการแก้ไขปัญหาบุกรุกที่ดินของรัฐจังหวัด ภูเก็ต (กบร) นำปัญหาที่ดินเกาะราชาใหญ่เข้าที่ประชุมติดตามความคืบหน้า ยืนยันมติ “กบร.” ปี 46 ที่ดินเกาะราชาใหญ่แปลง 99 ไร่บางส่วนออกไม่ถูกต้อง ให้แก้ไขการออกเอกสารสิทธิในส่วนที่เกิน พร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งความดำเนินคดี
นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัด ภูเก็ต กล่าวถึงการผลการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ หรือ กบร.จังหวัด ภูเก็ต ครั้งที่ 1/2551 ซึ่งจัดให้มีการประชุมขึ้นที่ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัด ภูเก็ต ว่า ในการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ จังหวัด ภูเก็ต ครั้งนี้ได้นำปัญหาที่ดินบนบริเวณเกาะราชาใหญ่ จำนวน 2 แปลง และที่ดินในพื้นที่ ต.เชิงทะเล 1 แปลง ที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้เข้าสู่การพิจารณาของ กบร.จังหวัดด้วย
สำหรับที่ดินบนเกาะราชาใหญ่ ม.ที่ 2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ. ภูเก็ต ที่มีการออกเอกสารสิทธิที่ดินตามหลักหลักฐานรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จำนวน 2 แปลง คือ แปลงเลขที่ 240 เนื้อที่ 48 ไร่ และเลขที่ 286 เนื้อที่ 99 ไร่ หมู่ที่ 2 ตำบลราไวย์
ในส่วนของที่ดินแปลง 99 ไร่ ได้มีการนำเข้าสู่ที่ประชุม กบร.จังหวัดเมื่อปี 2546 มาแล้วครั้งหนึ่ง และในการประชุมครั้งนั้น กบร.จังหวัด มีความเห็นว่าที่แปลง 99 ไร่ ไม่น่าจะออกเอกสารสิทธิถูกต้อง เพราะมีที่ดินบางส่วนอยู่ในที่สาธารณะ อยู่บนขดดิน และบางส่วนอยู่ในเขตป่า
หลังการประชุม กบร.จังหวัดได้ส่งเรื่องให้กับ กบร.ส่วนกลางพิจารณา และมีความเห็นว่าควรที่จะมีการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่เกินออกมา ซึ่ง กบร.กลางเห็นด้วยกับ กบร.จังหวัด และให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยเรื่องอยู่ที่สำนักงานที่ดิน แต่สำนักงานที่ดินไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด
หลังจากมีการอภิปรายเกิดขึ้น และมีการติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว กบร.จังหวัด ภูเก็ต จึงนำปัญหาเรื่องที่ดินเกาะราชา จ. ภูเก็ต เข้าสู่การประชุม กบร.จังหวัดอีกครั้ง และที่ประชุมยังมีมติเหมือนเดิม คือให้แก้ไขในส่วนที่เกินมา
ขณะเดียวกัน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4 หน่วย คือ อำเภอเมือง ภูเก็ต เทศบาลตำบลราไวย์ ป่าไม้จังหวัด ขนส่งทางน้ำ ตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนในแปลง 99 ไร่ หากตรวจสอบว่ามีการรุกล้ำที่สาธารณะ ป่าไม้ โขดหิน ก็ให้ไปแจ้งความดำเนินคดี ทั้งนี้ให้สรุปเรื่องมายังกบร. เพื่อทำหนังสือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อ
นายตรี ยังได้กล่าวต่อไปถึงที่ดินแปลงในพื้นที่ ต.เชิงทะเลว่า สำหรับที่ดินแปลงบริษัทสยามเจ้าพระยาแลนด์ จำกัดเดิมในปี 2533 ได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 545/476 หมู่ที่ 4 ต.เชิงทะเล เนื้อที่ประมาณ 58 ไร่ 87 ตารางวา ยื่นคำขอนำรังวัดเพื่อขอเปลี่ยนหลักฐานเป็น นส.3 ก กับสำนักงานที่ดินส่วนแยกถลาง ถึงวันที่ 10 เมษายน 2534 ได้มีการออกหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1576 ต.เชิงทะเล ในนามบริษัทสยามเจ้าพระยาแลนด์ จำกัด เนื้อที่ 71 ไร่ 53 ตารางวา มากกว่าเดิมประมาณ 12 ไร่ 3 งาน 63 ตารางวา โดยทิศตะวันตกชายทะเล หลังจากนั้นในปี 2542 ได้มีการเปลี่ยนมาเป็นโฉนดเลขที่ 11837 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง เนื้อที่ 71 ไร่ 63 ตารางวา เพิ่มจากเดิม 10 ตารางวา ด้านทิศตะวันตกจดชายทะเลด้านเดียว
หลังจากได้มีผู้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจแผ่นดินของรัฐสภา และในปี 2545 กรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยนำรูปถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหาร ซึ่งถ่ายไว้เมื่อปี 2510 พบว่ามีที่ดินบางส่วนในโฉนดเลขที่ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของทางสาธารณะเลียบชายทะเลหาดบางเทา
ผลการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้มีความเห็นควรสั่งการให้พิจารณาเพิกถอนโฉนดดังกล่าว เนื่องจากรุกล้ำที่สาธารณะ ต่อมาทางบริษัท ได้มีการยื่นฟ้อง จังหวัดเป็นจำเลยที่ 1 ผู้ว่าราชการกจังหวัด จำเลยที่ 2 และนายอำเภอถลาง จำเลยที่ 3 ในคดีเพ่ง ซึ่งจังหวัดชนะคดี และศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์และบริวารออกไปจากที่ดิน และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินเฉพาะส่วนที่เพิ่มมา 12 ไร่ 3 งาน 66 ตารางวา โดยทางฝ่ายบริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ส่วนคดีอาญา ปรากฎว่าทางอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ผู้ว่าฯ จึงได้ทำความเห็นแย้งไปยังอัยการ ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการดำเนินการ
ข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์